บร็อคโคลี่ และคุณสมบัติดีๆที่ไม่ควรมองข้าม
เชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยมักร้องยี๊!! เมื่อต้องรับประทานผักใบเขียวต่างๆ และผักสีเขียวยอดนิยมอีกหนึ่งอย่างก็คือ "บร็อคโคลี่" (Broccoli) ซึ่งเป็นผักในตระกูลกะหล่ำหรือคะน้าที่นิยมนำดอกอ่อนและก้านดอกมารับประทาน แต่รู้หรือไม่ว่า... การรับประทานบร็อคโคลี่แบบไหนจะได้ประโยชน์มากที่สุด และเราจะได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการรับประทานผักชนิดนี้
บล็อคโคลี่ (Broccoli) อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินเค กรดโฟลิก โพแทสเซียม แคลเซียม กากใยอาหาร และยังเป็นผักที่มีโปรตีนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผักชนิดอื่นๆ โดยบร็อคโคลี่ 100 กรัมให้พลังงานประมาณ 34 กิโลแคลอรี
ทานดิบๆจะได้ประโยชน์มากที่สุด
หากต้องการได้รับสารอาหารและประโยชน์มากที่สุดจากบร็อคโคลี่ สามารถทานดิบๆได้เลย แต่อย่าลืมว่าการรับประทานผักหรือผลไม้ทุกชนิดต้องล้างให้สะอาดก่อนนะคะ ส่วนใครที่ไม่ไหวจะทนกับการรับประทานผักดิบๆ สามารถนำไปผ่านการปรุงได้ แต่ต้องไม่ผ่านกรรมวิธีปรุงอาหารที่มีระยะเวลานานเกินไป
ต้นอ่อนของ บร็อคโคลี่ ช่วยต่อต้านโรคมะเร็งได้
ต้นอ่อนของบร็อคโคลี่ เป็นส่วนหนึ่งที่หลายๆคนน่าจะชอบรับประทานกันอยู่ ไม่เพียงแต่ความอร่อยที่ได้รับ แต่ยังอุดมด้วยคุณประโยชน์มากมายที่คุณอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน โดยต้นอ่อนของบร็อคโคลี่สามารถช่วยต่อต้านโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
มีการนำพืชหลายชนิดมาทำการวิจัยเพื่อค้นหาสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อการต่อต้านโรคมะเร็ง ซึ่งแน่นอนว่าบร็อคโคลี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะจากการศึกษาพบว่าใบและลำต้นของ บร็อคโคลี่ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น สารประกอบในกลุ่มฟีนอลิก ซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบและความเสียหายของเซลล์ต่างๆที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ นอกจากนี้ ในบร็อคโคลี่ ยังมีสารอินโดล-3-คาร์บินอล ซึ่งนักวิจัยคาดว่าอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย
บร็อคโคลี่ มีวิตามินซีและแคลเซียมสูงมาก
ด้วยวิตามินซีที่สูงมาก สามารถช่วยต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ ช่วยบำรุงและรักษาสายตา และยังสามารถป้องกันการเกิดต้อกระจกได้อีก้ดวย เรียกได้ว่า บล็อคโคลี่เป็นผักที่มีประโยชน์มากมาย และไม่ควรมองข้ามเลยนะคะ
คลิ้กเพื่ออ่าน >> วิตามินซีธรรมชาติ VS วิตามินซีสังเคราะห์
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm หรือ https://lin.ee/iu3gZAE
กระดูกพรุน ทำไมคนไทยมีความเสี่ยงมากกว่าชาติใดในโลก ?
รู้หรือไม่? อายุยิ่งมาก...ความหนาแน่นของมวลกระดูกยิ่งลด! ส่งผลให้เกิดโรค กระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ ภาวะที่กระดูกบางลง หักง่าย เมื่อได้รับอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะกระดูกสะโพก กระดูกต้นขา หรือหลังโค้งงอ เนื่องจากกระดูกสันหลังยุบตัวเข้าหากัน ซึ่งพบมากในสตรีวัยหมดประจำเดือนและสูงอายุ เพราะขาดฮอร์โมนในการสร้างกระดูก
3 เหตุผลที่คนไทยอาจมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนมากกว่าชาติอื่นๆ
กรรมพันธุ์ กระดูกพรุน ที่มากับผิวขาวของสาวเอเชีย
ถึงแม้ว่าประเภทผิว และจำนวนเม็ดสีของสาวเอเชียจะสามารถเอื้อต่อการดูดซึมวิตามิน
หนีแดดเพราะกลัวดำ พฤติกรรมหลบวิตามินดี
แสงแดดเป็นเหมือนศัตรูตัวร้ายของสาวๆที่อยากมีผิวขาว ก็จะพยายพามหลบแดดกันให้มากที่สุด เพราะกลัวรังสี UVA/UVB จะเผาผิวสวยให้เสียไป แต่จริงๆแล้วแสงแดดนั้นมีประโยชน์ดีๆที่ส่งผลถึงกระดูกเชียวนะ! ในแสงแดดยามเช้ายังมีวิตามินดีที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต รวมถึงเสริมสร้างกระดูกและฟันอีกด้วย ดังนั้น หากร่างกายขาดวิตามินดีก็จะส่งผลกระทบต่อกระบวนการของกระดูกและฟันในร่างกายไปด้วย
นอกจากนี้วิตามินดียังมีหน้าที่สำคัญในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Immune System) การที่สาวๆหลบแดดก็เหมือนการหลบวิตามินดีไปด้วยนั่นเอง แทนที่จะหลีกเลี่ยงแดดตลอดเวลา ลองออกมาสัมผัสแสงแดดอ่อนๆยามเช้า เลือกช่วงเวลาที่แดดอ่อนๆพอนะคะ
อาหารโซเดียมสูงแคลเซียมต่ำ ทำแคลเซียมสลาย
อีกพฤติกรรมที่มีผลกระทบต่อระบบร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ "พฤติกรรมการรับประทาน" นั่นเอง ลองสังเกตพฤติกรรมการประทานอาหารของตัวคุณเองดูว่าชอบรับประทานอาหารแบบไหน ซึ่งอาหารจานโปรดของชาวไทยส่วนมากจะเป็นอาหารที่มีรสค่อนข้างจัด หนักเครื่องปรุง แม้จะมีผักหรือเนื้อสัตว์ที
ในทางกลับกันหากคุณต้องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และช่วยลดโอกาสการเกิดโรคกระดูกพรุนได้ คุณต้องรับประทานอาหารที่มี "แคลเซียม" การจะเสริมแคลเซียมให้กับร่างกายต้องรู้ก่อนว่าเราจะพบแคลเซียมได้จากอาหารประเภทไหนบ้าง ซึ่งเราสามารถพบแคลเซียมได้ในน้ำนม น้ำส้ม ปลา บรอกโคลี ถั่วเปลือกแข็ง งา สาหร่ายทะเล แต่ต้องรับประทานในปริมาณที่มากพอถึงจะได้รับแคลเซียมที่เพียงพอในแต่ละวัน หรือง่ายกว่านั้นคือการเลือกรับประทานผลิตภัรฑ์เสริมอาหารที่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบหลัก ก็สามารถช่วยให้ร่างกายได้รับแคลเซียมในปริมาณที่มากพอ ช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
ประมาณ 99% ของแคลเซียม ( คลิ้กเพื่ออ่านบทความเกี่ยวกับแคลเซียม ) ในร่างกายจะถูกนำไปใช้ในกระบวนการสร้างกระดูก ฟัน เล็บ และผม ทำให้กระดูกและฟันมีความหนาแน่นแข็งแกร่ง ส่วนแคลเซียมอีก 1% จะไหลเวียนอยู่ในเลือด ดังนั้น แคลเซียมจึงมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก และเป็นสารสำคัญในการช่วยลดโอกาสการเกิดโรคกระดูกพรุน
นอกจากนี้แคลเซียมในเลือดยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายๆด้าน เช่น
- มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของมวลกล้ามเนื้อ
- มีผลต่อสารสื่อประสาท
- ป้องกันการไหลของเลือดเมื่อเกิดบาดแผล
- มีผลต่อการเต้นของหัวใจ
- ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้
ร่างกายจะเริ่มสะสมแคลเซียมในกระดูกตั้งแต่วัยเด็ก และจะสะสมมากที่สุดในช่วงวัยรุ่น ผู้หญิงจะมีแคลเซียมสูงถึง 90% เมื่ออายุ 18 ปี และผู้ชายในอายุ 20 ปี โดยทั้งสองเพศจะมีระดับแคลเซียมในร่างกายสูงสุดเมื่ออายุ 30 ปี หลังจากนี้จะไม่มีการสะสมแคลเซียมแล้ว หากร่างกายได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่มากพอกระดูกจะเริ่มผุ หลังจากผู้หญิงหมดประจำเดือนแล้ว 5-7 ปี ผู้หญิงจะมีการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูกประมาณ 3-5% ต่อปี ซึ่งอาจสูงถึง 20% ของมวลกระดูกทั้งหมด
อย่าปล่อยให้ภัยเงียบจาก กระดูกพรุน เกิดขึ้นกับตัวคุณแล้วค่อยรักษา
ความหนาแน่นของมวลกระดูกนั้นจะลดน้อยลงไปตามกาลอายุ เมื่ออายุมากขึ้น ประกอบกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และปัจจัยทางด้านฮอร์โมนต่างๆมักจะทำให้ความหนาแน่นของมวลกระดูกน้อยลงไปเรื่อยๆ ความต้องการของแคลเซียมเพิ่มขึ้นตามวัยโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ดังนั้น การเสริมแคลเซียม ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ อย่าปล่อยให้รู้ตัวเมื่อสายเกินแก้ หมั่นเสริมแคลเซียมให้กับร่างกายในทุกๆวัน ด้วยการรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามโภชนาการ ออกไปสัมผัสแสงแดดอ่อนๆบ้าง หรือเลือกวิธีที่ง่ายกว่านั้น คือการรับประทานแคลเซียมเป็นประจำก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคกระดูกพรุนได้นะคะ ทีนี้เรามาดูกันว่าร่างกายในแต่ละวัยมีความต้องการแคลเซียมแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
- เด็ก (1-10 ปี) ควรได้รับแคลเซียมวันละ 800 มิลลิกรัม
- วัยรุ่น (11-25 ปี) ควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม
- วัยผู้ใหญ่ (25 ปีขึ้นไป) ควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม
- สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร ควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม
- ผู้ประสบอุบัติเหตุกระดูกหัก ควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,500 มิลลิกรัม
ผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 19-50 ปี ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม เมื่ออายุมากกว่า 50 ปี ต้องการ 1,200 มิลลิกรัม
ดังนั้น คนในแต่ละช่วงวัยควรเลือกการรรับประทานเพื่อเสริมแคลเซียมในปริมาณที่เหมาะสมกับช่วงวัยของตนเองด้วย จึงจะช่วยให้ร่างกายห่างไกลจากโรคกระดูกพรุนได้
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm หรือ https://lin.ee/iu3gZAE
ผมบาง หรือไม่? แค่มีไม้บรรทัดก็วัดได้เลย!
ผมบาง คงเป็นปัญหาหนักใจของทั้งผู้ชายและผู้หญิง ไม่ว่าจะผมทรงไหนๆความมั่นใจก็น้อยลงไปตามเส้นผมที่น้อยลงไปทุกวัน คุณอาจรู้สึกว่าในหนึ่งวันคุณมีปริมาณผมร่วงเยอะมาก แต่จริงๆแล้วการมีผมร่วงนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเส้นผมและหนังศีรษะต้องมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวหนัง และเส้นผมที่เสื่อมสภาพแล้วก็ต้องผลัดเปลี่ยนด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นหากคุณมีผมร่วงบ้างยังนับว่าเป็นเรื่องปกติ และนั่นยังไม่น่ากังวลเท่ากับการที่ผมร่วงไปแล้วไม่ขึ้นมาอีก!! ถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่ดีแน่ๆ
แล้วคุณสงสัยหรือไม่ว่าผมที่ร่วงอยู่ทุกวันนี้มีปริมาณเยอะเกินไปจนทำให้คุณกลายเป็นคนผมบางแล้วหรือยัง ? บทความนี้เรามีวิธีเช็คอย่างง่ายๆว่าคุณเข้าข่ายผมบาง แล้วหรือยัง โดยใช้แค่ไม้บรรทัดหรือสายวัดมาฝากกันนะคะ
แสกกว้างขนาดนี้ เข้าข่าย ผมบาง หรือยังนะ?
เริ่มด้วยปัญหาหนักใจของสาวๆ คือเวลาแสกผมแล้วเห็นได้ชัดว่าผมบาง จะทำให้เห็นหนังศีรษะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่คุณลองสังเกตดูว่าเมื่อแสกผมแล้วความบางของเส้นผมทำให้เห็นหนังศีรษะค่อนข้างชัดเจนจนมีความกว้างถึง 1 เซนติเมตรแล้วหรือยัง
ถ้าความบางของเส้นผมกระจายกว้างจนเริ่มเกินระยะ 1 เซนติเมตรแสดงว่าคุณกำลังเจอกับปัญหาเข้าแล้วล่ะ
เบื้องต้นง่ายๆ แน่นอนว่าคุณอาจต้องบำรุงดูแลเพื่อลดการหลุดร่วงของเส้นผมให้มากขึ้น อย่าลืม! การดูแลเพื่อลดปัญหาผมร่วงผมบาง ไม่ใช่แค่การดูแลเส้นผมที่สาวๆมักให้ความสำคัญกันเป็นหลัก แต่ต้องดูแลไปถึงบริเวณ "หนังศีรษะ" ด้วย เพราะหนังศีรษะเป็นส่วนสำคัญที่ยึดเส้นผมของเราไว้ เมื่อหนังศีรษะเกิดความสมดุล รูขุมขนเป็นปกติก็จะทำให้ยึดเส้นผมเอาไว้ได้ดีจนถึงเวลาอันควร แต่หากหนังศีรษะมันเกินไป มีการผลิตน้ำมันออกมามากจนเกินไป ทำให้รูขุมขนกว้าง โอกาสที่จะทำให้เส้มผมหลุดร่วงออกมาก่กอนถึงเวลาอันควรก็มีมากตามไปด้วย ทำให้เกิดการผมร่วง และผมบางในที่สุด แต่หากหนังศีรษะแห้งจนเกินไปจนเกิดอาการลอกเป็นรังแคก็อาจเป็นสาเหตุของผมที่หลุดร่วงจนผมบางได้เช่นกัน ดังนั้น การรักษาสภาพความสมดุลของหนังศีรษะก็สำคัญไม่แพ้การบำรุงเส้นผมเลยนะคะ
ที่ช่วยสาวๆได้ในระยะสั้นๆ คือการเปลี่ยนวิธีการแสกผมบาง เช่น ถ้าปกติแสกกลาง อาจลองเปลี่ยนมาแสกซ้ายหรือขวาดูบ้างก็ได้นะคะ
ส่วนคุณผู้ชายที่มักมีปัญหาผมบางในส่วนของหน้าผาก โดยแต่ละคนจะมีรูปทรงของผมบริเวณไม่เหมือนกัน อาจต้องสังเกตก่อนว่ารูปทรงผมของคุณนั้นเป็นแบบไหน ซึ่งสามารถแบ่งออกง่ายๆได้เป็น 2 ลักษณะตัว คือ
- ผมบางในรูปแบบตัว O
- ผมบางในรูปแบบตัว M
ผมบาง ในรูปแบบตัว O
คุณผู้ชายที่มีทรงผมในรูปแบบของตัว O คือ มีไรผมบริเวณหน้าผากเป็นส่วนโค้งคล้ายรูปครึ่งวงกลม สำหรับผู้ชายที่มีผมบริเวณด้านหน้าโค้งเป็นรูปตัว O นั้น หากมีระยะห่างจากบริเวณหัวคิ้วไปถึงไรผมด้านบนเกินกว่า 6 เซนติเมตร แสดงว่าปัญหาผมบางเริ่มมาเยือนคุณแล้วนั่นเอง
ผมบาง ในรูปแบบตัว M
คุณผู้ชายบางคนอาจมีทรงผมด้านหน้าเป็นรูปตัว M สามารถวัดระยะห่างระหว่างบริเวณหัวคิ้วกับส่วนที่ลึกที่สุด หากมีระห่างมากกว่า 8 เซนติเมตร ก็ต้องหาวิธีดูแลปัญหาผมบางกันแล้วนะคะ
วิธีเบื้องต้นที่จะช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผมก็คือ การพิถีพิถันขึ้นอีกนิดกับการดูแลเส้นผมในทุกๆวัน
- เลือกใช้แชมพูสระผมที่อ่อนโยนต่อเส้นผมและหนังศีรษะ และเหมาะกับสภาพเส้นผม
- ใช้ครีมนวดผมเพื่อเป็นการปิดเกล็ดผม ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี
- สระผมให้ถูกวิธี โดยการนวดที่ผมและหนังศีรษะอย่างเบามือ หลีกเลี่ยงการสระที่รุนแรงเพราะจะยิ่งทำให้ผมขาดร่วงได้ง่าย
- หลีกเลี่ยงการสระผมด้วยน้ำอุ่น
- หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนกับเส้นผมบ่อยๆ
- หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่รุนแรงต่อเส้นผมและหนังศีระษะ
- ควรพักระยะห่างในการย้อมผม หรือการดัดผมด้วยสารเคมีพอสมควร
- ไม่หวีผมหรือเช็ดผมอย่างรุนแรงในขณะที่ผมเปียก
- หากใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม ต้องล้างออกให้สะอาดทุกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดการอุดตันที่หนังศีรษะ
- ไม่นอนทับเส้นผมในขณะที่ผมยังเปียก หลีกเลี่ยงโอกาสเสี่ยงในการเกิดเชื้อราบนหนังศีรษะ
ทีนี้เรามาดูต้นเหตุของปัญหาผมบางที่เกิดจากปัจจัยภายในกันบ้าง คุณเคยสงสัยมั้ยว่าทำไมปัญหาผมบางมักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
คำตอบคือ เพราะต้นตอของปัญหาผมบางมาจากฮอร์โมนเพศชายที่ชื่อ "Dihydrotestosterone หรือ DHT" นั่นเอง ซึ่งจริงๆแล้วฮอร์โมนนี้พบได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง เพราะฉะนั้นทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างมีโอกาสที่จะพบปัญญาผมบางได้หากมี DHT อยู่มากเกินที่ผิวหนัง ฮอร์โมน DHT จะมีการกระตุ้นให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังใหญ่ขึ้น ผิวหนังรวมถึงบริเวณหนังศีรษะก็จะผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ส่งผลให้รูขุมขนกว้างขึ้น ประสิทธิภาพในการยึดเส้นผมอาจลดลง ทำให้เส้นผมหลุดร่วงได้ง่ายมากขึ้นนั่นเอง และเมื่อมีฝุ่นหรือสิ่งสกปรกมาจับกับน้ำมัน ก็อาจเกิดการอุดตันเป็นสิวอักเสบขึ้นมาได้อีกด้วย
ฮอร์โมน DHT ยังจับกับเซลล์สร้างเส้นผม และออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นผมปกติ ทำให้เส้นผมใหม่ที่ขึ้นมาทดแทนเส้นผมเดิมที่ร่วงไป มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ จนทำให้เกิดภาวะผมบาง และศีรษะล้านตามมาในที่สุด
"ผมบางไม่ต้องเครียด แค่บำรุงให้ถูกจุดด้วย Restiv"
Restiv ถูกพัฒนามาเพื่อช่วยลดปัญหาผมบางโดยเฉพาะ โดยการพยายามแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของผมบาง นั่นก็คือ การมีปริมาณฮอร์โมน DHT มากเกินไปทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ดังนั้น Restiv จึงมาพร้อมสารออกฤทธิ์หลักสกัดจากธรรมชาติ คือ "PROCAPIL-N" ซึ่งประกอบด้วย
- Oleanolic acid ออกฤทธิ์ในการลดปริมาณฮอร์โมน DHT
- Apigenin ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไหลเวียนโลหิต ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการหล่อเลี้ยงเส้นผม
- Biotinyl-GHK เป็นโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบการสร้างเส้นผมใหม่
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ทำให้ Restiv สามารถตอบโจทย์ปัญหาผมบางได้อย่างปลอดภัย และยังสามารถใช้ได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง เพราะมาในรูปแบบโฟมที่ใช้ง่าย ซึมไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ
นอกจากฮอร์โมนแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่อาจทำให้เกิดปัญหาผมร่วง ผมบางได้ เช่น
- การใช้สารเคมีที่รุนแรงต่อเส้นผมและหนังศีรษะ
- ผมร่วงและหนังศีรษะล้านจากกรรมพันธุ์
- ความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
- การตั้งครรภ์และผมร่วงหลังคลอด
- ภาวะความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจ
- การใช้ยาบางประเภทที่มีความเข้มข้นสูง เช่น วิตามินเอที่ใช้ในการรักษาสิวตามที่แพทย์สั่ง
- การลดน้ำหนัก จนทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร
- อายุที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้การทำงานของเซลล์ต่างๆในร่างกายเสื่อมลง
จะเห็นได้ว่าภาวะการเกิดผมบางนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้น นอกจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับปัญหาแล้ว ยังควรรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามโภชนาการและรักษาสุขภาพร่างกาย รวมถึงจิตใจให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยนะคะ
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm หรือ https://lin.ee/iu3gZAE
ผิวขาวใส แบบสุขภาพดีจากภายใน ต้องกินอะไร ?
ถ้าแดดประเทศไทยจะร้อนขนาดนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่สาวๆต้องเผชิญทุกวัน คือ รังสียูวี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!! ซึ่งรังสียูวีเหล่านี้เป็นศัตรูตัวร้ายของการมี ผิวขาวใส เนื่องจาก UVA ส่งผลให้เกิดริ้วรอยได้ ส่วน UVB ก็ทำให้ผิวเกิดอาการไหม้ได้ โดยจะกระตุ้นกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานินใต้ผิว ทำให้สีผิวเข้มขึ้นในที่สุด นอกจากแสงแดดแล้ว ยังมีอีกหลายๆปัจจัยที่เป็นสาเหตุของผิวเสีย เช่น ควัน มลพิษ การขาดสารอาหาร และความเครียด
ดังนั้นถ้าต้องการดูแลผิวก็ต้องทำหลายๆอย่างไปพร้อมกันเพื่อปกป้องผิวได้ครบทุกทาง นอกจากการใส่เสื้อผ้าปกคลุม การทาครีมกันแดดแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่สามารถช่วยฟื้นฟูผิวของเราได้ดีคือการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ทีนี้เรามาดูกินว่าสารอาหารจากอะไรบ้างที่มีประโยชน์ในการบำรุงผิว ช่วยฟื้นฟูให้ ผิวขาวใส ขึ้นได้ แถมยังช่วยให้สุขภาพดีอีกด้วย
"เบอร์รี่" เป็นกลุ่มผลไม้ที่เปรียบเสมือนตัวช่วยมหัศจรรย์ของผิว เพราะมีสารอาหารสำคัญกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์หรือแอนโธไซยานิดินส์ ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง
บำรุงพร้อมฟื้นฟู ผิวขาวใส ต้องบลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และเอลเดอร์เบอร์รี่
บลูเบอร์รี่ (Blueberry)
ผลไม้ลูกจิ๋วสีน้ำเงินอมม่วง ที่มาพร้อมคุณประโยชน์ที่ไม่จิ๋ว!! บลูเบอร์รี่เป็นอีกหนึ่งผลไม้หนึ่งในตระกูลเบอร์รี่ที่รู้จักกันมาก ด้วยรสเปรี้ยวนิดๆทำให้ทานสดก็อร่อย หรือจะนำไปทำเมนูไหนก็น่าลิ้มลอง แต่นอกจากความอร่อยแล้ว บลูเบอร์รี่ยังมีประโยชน์อีกมาก
- อุดมด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ : บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมาก มากที่สุดในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่เลยด้วยซ้ำ การบริโภคผลไม้ชนิดนี้เป็นประจำจึงช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระต่างๆ ที่จะมาทำลายผิวให้เกิดริ้วรอย แถมยังช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วให้หลุดออกไป พร้อมเผยผิวใหม่ที่สดใสกว่าเดิมออกมา
- ช่วยบำรุงระบบไหลเวียนโลหิตและบำรุงผิวพรรณ : บลูเบอร์รี่มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ประกอบอยู่ เป็นสารจำพวกฟลาโวนอยด์ที่มีสีแดงอมม่วง สารนี้มีประโยชน์ช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดในระดับที่เล็กมากขึ้น และช่วยในการทำงานของกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของเซลล์เรตินา อีกทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินซีจึงช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้สดใส เปล่งปลั่ง และแก้มแดงมีเลือดฝาด ดูผิวสวยแบบสุขภาพดีอีกด้วย
- ช่วยชะลอเซลล์มะเร็ง : การบริโภคบลูเบอร์รี่เป็นประจำ สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก จากการทดลองให้ผงบลูเบอร์รี่กับหนูที่เป็นมะเร็งเต้านม ผลการทดลองออกมาว่า ปริมาณเนื้องอกลดลงถึง 40% เลยทีเดียว
- ช่วยบำรุงสมอง : บำรุงระบบประสาทให้สมองทำงานได้อย่างเต็มที่
- ช่วยย่อยอาหารและระบบขับถ่ายดี : เพราะเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงมาก จึงมีส่วนช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ราสเบอร์รี่ (Rasberry)
ผลไม้รสเปรี้ยวสีแดงที่หลายๆคนชื่นชอบ นอกจากสีสันที่สวยงามบนจานโปรดแล้ว ผลไม้ชนิดนี้ยังมีประโยชน์ดีๆอีกมาก
- ไขมันและแคลอรีต่ำ : อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย
- เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายและช่วยป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ
- ต่อต้านมะเร็ง : พราะอุดมไปด้วยกรดเอลลาจิก (Ellagic acid) ซึ่งในทางการแพทย์ได้ยอมรับว่ามันมีฤทธิ์แรงที่สุดในการช่วยป้องกันมะเร็ง
- ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อม
- อุดมด้วยวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินอี : ช่วยบำรุงผิวพรรณ ชะลอการเกิดริ้วรอย
เอลเดอร์เบอร์รี่ (Elderberry)
ชื่อนี้อาจไม่ค่อยคุ้นหูกันนัก เอลเดอร์เบอร์รี่เป็นผลเบอร์รี่ที่ได้จากไม้พุ่มขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ผลมีสีม่วง-ดำ เห็นลูกเล็กๆแบบนี้แต่มีคุณค่าทางอาหารที่มากไม่แพ้เบอร์รี่ชนิดอื่นๆเลยทีเดียว
- ต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่ทรงพลัง : ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่างๆในร่างกาย
- มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส : ช่วยป้องกันและบรรเทาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัด
- กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
- บำรุงสายตา
จะเห็นได้ว่าเบอร์รี่ทั้ง 3 ชนิดที่กล่าวมานั้นมีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก จึงสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ รวมทั้งเซลล์ผิวหนังด้วย ส่งผลให้สามารถช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมามีสุขภาพดีได้จากภายในนั่นเอง
เติมคอลลาเจนให้ชั้นผิวเต่งตึง ด้วยแบล็คเบอร์รี่ และโกจิเบอร์รี่
คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในชั้นผิว ถ้ามีกระบวนการผลิตคอลลาเจนที่ดี เช่น ในวัยเด็ก ก็จะทำให้ผิวสวยเต่งตึง สามารถสมานแผลได้เร็ว จึงจะสังเกตุได้ว่าเด็กๆมีผิวที่สวยและสามารถรักษาแผลต่างๆได้เร็วกว่าผู้สูงอายุ ทั้งแบล็คเบอร์รี่และโกจิเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารอาหารที่สามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพของกระบวนการกระตุ้นคอลลาเจนในร่างกายได้ จึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่จะช่วยเสริมให้สาวๆมีผิวสวยเต่งตึง
ผิวเนียนนุ่มด้วยวิตามินซี จากสตรอว์เบอร์รี่ และแครนเบอร์รี่
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า "วิตามินซี" มีส่วนช่วยให้ผิวกระจ่างใสได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคนส่วนมากจะรู้ว่าวิตามินซีนั้นสามารถพบได้ในผลไม้ประเภทส้ม แต่จริงๆแล้วผลไม้รสเปรี้ยวหลายๆชนิดก็อุดมด้วยวิตามินซีเช่นกัน อย่างสตรอว์เบอร์รี่และแครนเบอร์รี่ก็มีปริมาณวิตามินซีที่สูง ซึ่งวิตามินซีนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนได้เช่นกัน จึงมีส่วนช่วยให้ผิวเนียนนุ่มได้
ช่วยผลัดเซลล์ผิว ด้วยบิลเบอร์รี่ และแบล็คเคอร์แรนท์
อีกหนึ่งข้อสำคัญในการมีผิวที่ขาวใส คือกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่เป็นปกติ จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วให้หลุดออก พร้อมที่จะเผยผิวใหม่ที่ขาวใสออกมา แต่หากกระบวนการผลัดเซลล์ผิวนั้นมีปัญหาจะทำให้เกิดการทับถมของเซลล์ผิวที่ตายแล้วอยู่บนผิวหนัง ทำให้สาวๆรู้สึกได้ถึงผิวที่ผมองคล้ำและไม่เรียบเนียนนั่นเอง ส่วนผลไม้รสเปรี้ยวอย่างบิลล์เบอร์รี่และแบล็คเคอร์แรนท์นั้นมีคุณสมบัติในการช่วยเสริมประสิทธิภาพของกระบวนการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ จึงมีส่วนช่วยคืนผิวที่ขาวใสเรียบเนียนให้กับสาวๆได้นั่งเอง
ทานยังไงให้ ผิวขาวใส ครบง่ายๆในเม็ดเดียว "9 Berries" รวมสารสกัดจากเบอร์รี่ 9 ชนิด พร้อมวิตามินซี สารสกัดจากเปลือกสน และสารสกัดจากมะเขือเทศ
นอกจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่ช่วยบำรุงฟื้นฟูผิวได้ดีแล้ว ยังมีสารสกัดจากธรรมชาติอื่นๆ เช่น "อะเซโรล่า เชอร์รี่" ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพกลไกการฟื้นฟูผิวได้ดีขึ้นอีกด้วย
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm หรือ https://lin.ee/iu3gZAE
ถนอมสายตา ด้วย 5 เทคนิคดีๆที่สายโซเชียลห้ามพลาด!!
สมัยนี้ใครๆก็เป็นสายโซเชียลกันทั้งนั้น!! คุณเคยสำรวจพฤติกรรมตัวเองบ้างมั้ยว่า วันๆคุณใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ แท็ปเล็ตกันกี่ชั่วโมง บางคนอาจใช้แค่วันละ 1-2 ชั่วโมง แต่บางคนอาจตอบว่าใช้กันทั้งวัน ซึ่งแน่นอนว่าอวัยวะที่รับบทหนักที่สุดในระหว่างที่คุณเล่นโซเชียลหรือทำงานหน้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคต่างๆคงเป็น "ดวงตา" แต่ในทางกลับกัน คุณได้ดูแลดวงตา ถนอมสายตา ของคุณมากน้อยแค่ไหน ?
บทความนี้เลยมี 5 เทคนิคดีๆมาแบ่งปัน ให้ทุกคน ถนอมสายตา กันง่ายๆ ทำได้ทุกวัน เพื่อให้ดวงตาคู่สำคัญอยู่กับคุณไปอีกนานๆ
1. ติดฟิล์มกรองแสง Blue light Cut เพื่อช่วยตัดแสงสีฟ้าที่หน้าจอก่อนถึงดวงตา
เมื่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พัฒนาไปเรื่อยๆ อุปกรณ์เสริมอย่างฟิล์มกันรอยสำหรับสมาร์ทโฟน แท็ปเล็ต และคอมพิวเตอร์ก็พัฒนาไปด้วยเช่นกัน สมัยนี้มีฟิล์มติดหน้าจอมีดีมากกว่ากัยรอยขีดข่วนแล้ว เพราะฟิล์มบางประเภทสามารถช่วยกรองแสงสีฟ้าได้ด้วย เป็นการช่วยตัดแสงสือฟ้าหรือลดการสะท้อนเข้าดวงตานั่นเอง หลายคนอาจสงสัยว่าแสงที่เห็นออกมาจากอุปกรณ์ต่างๆก็เป็นสีขาวปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภายในแสงสีขาวนั้นจะประกอบด้วยโทนสีหลายสี รวมทั้งแสงสีฟ้า สีน้ำเงิน สีม่วง ซึ่งแสงกลุ่มนี้เป็นอันตรายต่อดวงตา เพราะกลุ่มแสงสีฟ้าสามารถทะลุทะลวงได้ถึงจอประสาทตา มีพลังทำลายกระจกตาหรือจอประสาทตาได้มากกว่าแวงสีอื่น ถึงแม้ว่าโดยธรรมชาติดวงตาของมนุษย์จะสามารถกรองแสงสีฟ้าได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเราใช้สายตาจ้องที่หน้าจอนานๆก็มีควาเสี่ยงสูงที่จะเกิดอันตรายต่อดวงตาในระยะยาว
ผลเสียจากแสงสีฟ้า (Blue Light)
- ส่งผลให้เกิดอาการตาแห้ง เพราะเมื่อจ้องมองแสงสีฟ้านานๆ ทำให้ดวงตาต้องทำงานหนัก
- มีอาการตาแห้ง เพราะปุกรณ์ต่างๆมักมีขนาดเล็ก ทำให้ต้องจ้องมองมากกว่าปกติ
- ทำให้จอประสาทตาเสื่อม เพราะแสงสีฟ้าสามารถทะลุทะลวงเข้าไปได้ถึงจอประสาทตา และทำลายเซลล์รับแสงในจอประสาทตาได้
รู้อย่างนี้แล้ว การหาตัวช่วยในการลดปริมาณแสงสีฟ้านั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ที่ใช้สายตาจองมองอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์วันละหลายๆชั่วโมง
2. ตั้งค่าโหมด Blue Light ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อช่วย ถนอมสายตา
นอกจากการติดฟิล์มกรองแสงที่ตัวเครื่องกันแล้ว อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยนี้ยังมีฟังก์ชั่นดีๆ ที่มักใช้ชื่อว่า "Blue Light Mode" (อาจใช้ชื่อแตกต่างกันไปแล้วแต่อุปกรณ์) โดยมีจุดประสงค์ช่วยปรับหน้าจอของอุปกรณ์ให้มีการสะท้อนของแสงสีฟ้าน้อยลง เพียงแค่ตั้งค่าอุปกรณ์ของเราให้เป็นโหลด Blue Light ก็สามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่อาจจะยังไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นตามไปดูเทคนิคข้อต่อไปกันต่อเลยค่ะ
3. แว่นกรองแสงช่วย ถนอมสายตา
แว่นกรองแสงกลายเป็นตัวช่วยสำคัญของสายจ้องจอ ไม่ว่าจะเป็นชาวออฟฟิศหรือนักเรียนที่ต้องใช้สายตาจ้องจอคอทพิวเตอร์เป็นประจำ หรือสายโซเชียลติดสมาร์ทโฟนก็ควรตระหนักกันให้มากขึ้น ตามร้านแว่นมีเลนส์ให้เลือกมากมากหลายประเภท และเลนส์ที่กำลังเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆคือ เลนส์กรองแสง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยกรองแสงสีฟ้าได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนสายตาสั้นที่ใส่แว่นอยู่แล้วหรือแค่อยากได้แว่นเอาไว้ใส่ขณะใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็สมควรแก่การเป็นเจ้าของแว่นกรองแสงมากๆ เพราะเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่สามารถลดความเสี่ยงจากแสงสีฟ้าได้เช่นกัน
4. ตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำ
นอกจากการป้องกันสายตาจากการคุกคามของแสงสีฟ้าแล้ว อย่าลืมไปตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เผื่อว่าถ้าดวงตากำลังเผชิญกับปัญหาอะไร จะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องจากแพทย์ และรักษาได้ทันท่วงทีนะคะ
ความสำคัญของการตรวจสุขภาพดวงตา
- ผู้มีภาวะสายตาผิดปกติ เช่น สายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำ อบ่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่องจากผู้ที่มีสายตาผิดปกติ มีความเสี่ยงในการเกิดโรคทางตาบางชนิดสูงกว่าผู้ท่มีสายตาปกติ ดังนั้น การเข้ารับการตรวจเป็นประจำถือเป็นการเฝ้าระวังโรคทางตาที่อาจเกิดขึ้นได้
- ผู้ที่มีสายตาปกติ ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปี ขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเช่นกัน เพราะด้วยอายุที่มากขึ้น ย่อมมีความเสี่ยงในการเกิดโรคทางตามากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน ดังนั้น ควรเข้ารับการตรวจเพื่อเป็นการเฝ้าระวังโรคทางตาที่อาจเกิดได้ เช่น โรคต้อหิน หรือ โรคจอประสาทตาเสื่อม
5. ดูแลสายตาด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ
นอกจากการดูแลถนอมสายตาจากภายนอกแล้ว เรายังสามารถช่วยถนอมสายตาจากภายในได้โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารประเภทที่ช่วยบำรุงสายตาได้ดี หรือเลือกใช้สารสกัดจากธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงดวงตาช่วยดูก็เป็นอีกทางเลือกดีๆนะคะ
โดยสารสกัดจากธรรมชาติที่สามารถช่วยดูแลสุขภาพดวงตาได้นั้นมีหลากหลายชนิด แต่ที่นิยมกันมากมีสารสกัดจากธรรมชาติ 4 ชนิด คือ
- ลูทีน (Lutein) เป็นสารสกัดกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่พบในดอกดาวเรือง คะน้า ผักกาดและพืชอีกหลายชนิด เราจะพบสารนี้ได้มากในบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา
- แอสตาแซนธีน (Astaxanthin) เป็นสารสกัดจากสาหร่ายสีแดง ฮีมาโตคอกคัส พลูเวียลิส มีคุณสมบัติในการปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ และมีส่วนช่วยในการลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา
- บิลเบอร์รี่ (Bilberry extract) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้เส้นเลือดฝอยไม่เปราะหรือแตกง่าย ช่วยในการมองเห็นในที่มืด ป้องกันอาการตาบอดตอนกลางคืน ป้องกันไม่ให้เซลล์ดวงตาขุ่นมัว
- วิตามินอี (Vitamin E) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่รู้จักกันดี และยังสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจกอีกด้วย
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บำรุงสายตา
นอกจากนี้เรายังมี 6 วิธีปฏิบัติที่จะช่วย ถนอมสายตา
1. นั่งห่างจากจอคอมพิวเตอร์ใน
2. อ่านหรือเขียนหนังสือโดยม
3. พักสายตาบ้าง ไม่ควรใช้สายตาติดต่อกันนาน
4. หลีกเลี่ยงการมองของที่มีสี
5. ควรสวมแว่นกันแดด หรือสวมหมวกทุกครั้งเมื่ออก
6. รับประทานอาหารหรืออาหารเสร
ได้รู้วิธีการ ถนอมสายตา กันไปแล้ว ถึงเวลาเริ่มดูแลสุขภาพดวงตากันอย่างจริงจังแล้วนะคะ
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm หรือ https://lin.ee/iu3gZAE
5 วิตามิน เพิ่มความสดใสให้ชาวออฟฟิศ
ทำงานมาทั้งวัน
ดูแลตัวเองกันหน่อยมั้ย ??
เพราะเราเข้าใจดีว่าการทำงานทั้งวันอาจทำให้คุณเหนื่อยล้า วันนี้เรามี 5 สิ่งดีๆมาแนะนำเพื่อเพิ่มความสดใสให้ชาวออฟฟิศ มีสุขภาพที่ดีไปพร้อมกัน ด้วย 5 วิตามินที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์แต่ละแบบ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ บำรุงกระดูก บำรุงสายตา บำรุงผิว อย่าลืมว่า... "ใช้งานมาก ก็ยิ่งต้องดูแลมาก" นะคะ
1. คิดงานผ่านฉลุย เมื่อสมองดีด้วย "น้ำมันปลา"
น้ำมันปลา หรือ Fish Oil อุดมไปด้วยกรดโอเมก้า-3 (Omega-3 fatty acids) ซึ่งเป็น "ไขมันดีที่ต่อร่างกาย" ซึ่งแตกต่างไปจากไขมันในเนื้อสัตว์อื่นๆ โดยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่สำคัญที่สุดที่อยู่ในน้ำมันปลา คือกรดอีโคซะเพนตะอีโนอิก (Eicosapentaenoic acid: EPA) หรือกรดไขมันอีพีเอ และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (Docosahexaenoic acid: DHA) หรือกรดไขมันดีเอชเอ ร่างกายไม่สามารถสร้างกรดโอเมก้า-3 ขึ้นเองได้ ต้องได้รับจากการรับประทานเข้าไปเท่านั้น
เราสามารถพบกรดไขมันโอเมก้า-3ได้ในเนื้อปลาชนิดต่างๆ โดยมีปริมาณต่างกันดังนี้ (เทียบจากเนื้อปลาปริมาณเท่ากัน 150 กรัม)
- ปลาซาร์ดีนบรรจุกระป๋อง: 1,500 มิลลิกรัม
- ปลาแซลมอนกระป๋อง: 500-1,000 มิลลิกรัม
- หอยแมลงภู่: 500-1,000 มิลลิกรัม
- แซลมอนแอตแลนติกหรือออสเตรเลีย: มากกว่า 500 มิลลิกรัม
- ปลาแมกเตอเรล: มากกว่า 500 มิลลิกรัม
- ปลาซาร์ดีนสด: มากกว่า 500 มิลลิกรัม
- ปลาทูน่ากระป๋อง: 300-500 มิลลิกรัม
- ปลากะพง: 300-400 มิลลิกรัม
- ปลาทูน่า: 300-400 มิลลิกรัม
- ปลากระพงขาว: 200-300 มิลลิกรัม
- ปลาตาเดียว: 200-300 มิลลิกรัม
ประโยชน์ของน้ำมันปลา
- มีส่วนช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของระบบสมอง
- ช่วยลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ มีส่วนช่วยลดอาการภาวะเกี่ยวกับหัวใจและเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล และความดันโลหิต
- ป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง และการอุดตันของหลอดเลือดแดง
- มีส่วนช่วยในการลดปัญหาเกี่ยวกับไตมากมาย เช่น โรคไต ไตล้มเหลว และภาวะแทรกซ้อนที่ไตที่เกี่ยวกับเบาหวาน ตับแข็ง
- บรรเทาแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากเชื้อเอชโพโลไร
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร น้ำมันปลาชนิดไร้กลิ่นคาว
2. สุขภาพดีไม่มีห่วง เมื่อหัวใจแข็งแรง ด้วย "โคคิวเท็นผสมน้ำมันงาขี้ม้อน"
โคคิวเท็น (CoQ10) เป็นสารอาหารธรรมชาติที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเพื่อเป็นตัวร่วมในการสร้างพลังงานภายในไมโตครอนเดรีย หรือพูดง่าบๆก็คือ "เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานให้เซลล์ต่างๆในร่างกาย" พบมากในเซลล์หรืออวัยวะที่ใช้พลังงานมาก เช่น หัวใจ ไต ปอด ตับ ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายสามารถสร้างได้เองตามธรรมชาติ แต่ต้องอาศัยสารอาหารหลายชนิด เช่น ไทโรซีน ฟีนิลอะลานีน และวิตามินกว่า 7 ชนิดในการสร้างมันขึ้นมา
ซึ่งโคคิวเท็นนั้นมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ ยูบิควิโนน โคคิวเท็น (Ubiquinone CoQ10) และ ยูบิควินอล โคคิวเท็น (Ubiquinol CoQ10)
- ยูบิควิโนน โคคิวเท็น (Ubiquinone CoQ10) คือ รูปแบบที่ยังไม่พร้อมใช้งาน (Inactive form) เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว ต้องรอการเปลี่ยนแปลงฟอร์มก่อนถึงจะนำไปใช้ได้
- ยูบิควินอล โคคิวเท็น (Ubiquinol CoQ10) คือ รูปแบบที่พร้อมใช้งาน จัดเป็นรูปแบบหลักของ CoQ10 ที่ร่างกายต้องกาย โดยส่วนมากจะพบในคนที่มีอายุน้อยและสุขภาพดี ถ้าเป็นการรับประทานเข้าไป ก็จะสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้ทันที
โดยปกติแล้ว โคคิวเท็น จะลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น แต่นอกจากเรื่องอายุแล้วยังมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการลดลงของโคคิวเท็น ได้แก่
- กระบวนการเผาผลาญที่เพิ่มขึ้น
- ภาวะความเครียด
- การรับประทานอาหารที่ไม่เพียงพอ
- ความสามารถในการดูดซึมของร่างกายลดลง
- โรคบางชนิด เช่น เบาหวาน มะเร็ง และโรคหัวใจ
- การรับประทานยาในกลุ่มสแตติน (Statin)
จะเห็นได้ว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลทำให้โคคิวเท็นในร่างกายลดลง รวมไปถึงการเกิดความเครียดด้วย ดังนั้น สำหรับชาวออฟฟิศที่มักมีภาวะเครียด ควรต้องเสริม วิตามิน ให้เพียงพอต่อร่างกายไว้
ประโยชน์ของโคคิวเท็น
- ป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง
- เพิ่มพลังงานให้กับเซลล์ ช่วยให้เซลล์ต่างๆทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ปกป้องเซลล์ของร่างกายจากอนุมูลอิสระ จึงมีส่วนช่วยในการชะลอวัย
- ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับเซลล์ผิว ส่งผลให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งกระจ่างใส
- บรรเทาอาการอักเสบของเหงือก ต่อต้านแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดปัญหาของโรคเหงือก
- ลดผลกระทบที่มาจากการรับประทานยาในกลุ่มสแตติน (Statin)
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โคคิวเท็นผสมน้ำมันงาขี้ม้อน
3. กิจกรรมไหนก็พร้อม เมื่อกระดูกแข็งแรง ด้วย "แคลเซียมผสมโบรอน และ วิตามิน ดี3"
แน่นอนว่ากระดูกเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวทำกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา สำหรับชาวออฟฟิศที่ทำกิจกรรมหรือแม้แต่นั่งทำงานอยู่กับที่นานๆก็ควรดูแลกระดูกไว้ตั้งแต่วันนี้ เพราะภัยเงียบจาก "โรคกระดูกพรุน" อาจแสดงอาการเมื่อายุเริ่มมากขึ้น
โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะที่โครงสร้างของกระดูกมีความผิดปกติ ซึ่งส่งผลต่อความแข็งแรงของกระดูก และเพิ่มความเสี่ยงต่อการแตกหักของกระดูก
ปัจจัยที่ส่งผลให้กระดูกบาง ได้แก่
- ฮอร์โมน : เอสโตรเจนมีผลต่อการดูดซึมแคลเซียม
- อาหาร : ขาดการอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินสูง
- เพศ : เพศหญิงมีความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนมากกว่าเพศชาย
- ขนาดรูปร่าง : มีผลต่อการสึกกร่อนของกระดูก
- พันธุกรรม : ประวัติครอบครัว ส่งผลต่อความเสี่ยงในการเกิดโรค
- อายุ : อายุยิ่งมาก กระดูกยิ่งบาง
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต : ดื่มกาแฟ เหล้า สูบบุหรี่ ออกกำลังกายน้อย
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสเสี่ยงแบบนี้ อย่าลืมหันมาใส่ใจโดยการหา วิตามิน เสริม เพื่อดูแลกระดูกอย่างแคลเซียม โบรอน และวิตามินดี
ประโยชน์ของแคลเซียม
- เป็นส่วนประกอบหลักของโครงสร้างกระดูกและฟัน
- มีความจำเป็นต่อการหดตัวของกล้ามเนื้อ
- มีความจำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาท เยื่อหุ้มเซลล์ และการนำสารอาหารผ่านผนังหลอดเลือด
- มีความสำคัญต่อกระบวนการของอวัยวะต่างๆ
- เป็นตัวสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับปฏิกิริยาของเอนไซม์หลายๆชนิด
4. จ้องคอมนานก็ไม่หวั่น เมื่อสายตาดี ด้วย "ลูทีน ผสมแอสตาแซนธีน และ วิตามิน อี"
ชาวออฟฟิศสมัยนี้คงหลีกเลี่ยงการใช้สายตาตลอดทั้งวันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ หรือใช้คอมพิวเตอร์นานๆ หรือแม้แต่ช่วงเวลาพักผ่อนที่มักจะใช้สมาร์ทโฟนกันอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าพฤติกรรมพวกนี้ส่งผลเสียต่อดวงตาแน่นอน เพราะเป็นการใช้สายตาหนัก ยิ่งเจอแสงสีฟ้าที่มาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยิ่งทำให้ตาล้าได้ง่าย พวกเราจึงควรมี วิตามิน เสริม เข้ามาเป็นตัวช่วยดูแลสุขภาพดวงตากันสักหน่อย
โดยวิตามินที่สามารถช่วยดูแลสุขภาพดวงตาได้นั้นมีหลากหลายชนิด แต่ที่นิยมกันมากมีสารสกัดจากธรรมชาติ 4 ชนิด คือ
- ลูทีน (Lutein) เป็นสารสกัดกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่พบในดอกดาวเรือง คะน้า ผักกาดและพืชอีกหลายชนิด เราจะพบสารนี้ได้มากในบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา
- แอสตาแซนธีน (Astaxanthin) เป็นสารสกัดจากสาหร่ายสีแดง ฮีมาโตคอกคัส พลูเวียลิส มีคุณสมบัติในการปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ และมีส่วนช่วยในการลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา
- บิลเบอร์รี่ (Bilberry extract) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้เส้นเลือดฝอยไม่เปราะหรือแตกง่าย ช่วยในการมองเห็นในที่มืด ป้องกันอาการตาบอดตอนกลางคืน ป้องกันไม่ให้เซลล์ดวงตาขุ่นมัว
- วิตามินอี (Vitamin E) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่รู้จักกันดี และยังสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจกอีกด้วย
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บำรุงสายตา
5. ใส่ชุดไหนก็มั่นใจ เมื่อผิวดี ด้วย "คอลลาเจน"
เป็นที่รู้จักกันมานานสำหรับ "คอลลาเจน" ที่ขึ้นชื่อเรื่องบำรุงผิวสวย แต่ความจริงแล้วคอลลาเจนยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในส่วนอื่นๆอีกมากนะคะ
คอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งพบได้ทั่วร่างกาย โดย 70% พบที่ผิวหนัง คอลลาเจนทำหน้าที่ในการประสานเนื้อเยื่อของผิวหนังเข้าด้วยกัน โดยจะอยู่ในรูปของไฟเบอร์ นอกจากผิวหนังแล้ว คอลลาเจนยังเป็นส่วนประกอบของกระดูก ฟัน เส้นเอ็น กระดูกอ่อนอีกด้วย
ประโยชน์ของคอลลาเจน
- เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนัง
- ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชิ้นมากขึ้น
- มีส่วนช่วยในการลดเลือนริ้วรอย
- คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว
- เป็นองค์ประกอบของกระดูกอ่อน
- มีส่วนช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คอลลาเจน
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm หรือ https://lin.ee/iu3gZAE
ไวรัสโคโรนา กับ 6 วิธีป้องกันที่คุณควรรู้
“ไวรัสโคโรนา” สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ COVID-19 เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ ซึ่งส่งผลให้เกิด "โรคปอดอักเสบ" ได้ โดยมีช่องทางการแพร่เชื้อ คือ ละอองฝอยจากน้ำมูกน้ำลายเป็นช่องทางหลัก และสามารถผ่านเยื่อบุตาได้ รวมถึงการสัมผัสใบหน้าและปากก็สามารถเพิ่มโอกาสการติดเชื้อได้เช่นกัน
แน่นอนว่าช่วงนี้ทุกคนต่างพยายามป้องกันตนเองและผู้อื่นให้ห่างไกลจาก ไวรัสโคโรนา นี้ โดยควรป้องกันทั้งตนเอง โดยการดูแลสุขอนามัยให้ดีเป็นพิเศษในช่วงนี้ และเมื่อรู้สึกว่าไม่สบาย ก็อย่าลืมป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นด้วยนะคะ
บทความนี้มี 6 วิธีป้องกันตัวคุณและคนรอบข้างให้ห่างไกลจาก ไวรัสโคโรนา มาฝากกันค่ะ
1. ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ ป้องกัน ไวรัสโคโรนา
การล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการป้องกันการสัมผัสกับเชื้อไวรัส เพราะมือเป็นอวัยวะที่สัมผัสกับสิ่งต่างๆมากที่สุด และเชื้อสามารถติดต่อกันได้ผ่านทางการสัมผัส เช่น ถ้ามีผู้ป่วยที่ติดเชื้อมีเชื้อที่มาจากน้ำมูกน้ำลายเปื้อนที่มือแล้วไปจับสิ่งของ เมื่อมีคนมาจับสิ่งของชิ้นนั้นๆต่อ ก็มีโอกาสสูงที่เชื้อนั้นจะติดไปกับมือของผู้ที่ได้สัมผัสสิ่งของนั้นต่อ ดังนั้น การล้างมืออย่างถูกวิธีจะช่วยทำลายเชื้อไวรัส เพื่อลดความเสี่ยงได้มาก
การล้างมืออย่างถูกต้อง ควรล้างด้วยสบู่อย่างน้อย 20 วินาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรือในกรณีล้างด้วยแอลกอฮอล์เจลล้างมือ แล้วรอให้เจลแห้ง โดยต้องใช้เจลล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อย่างน้อย 70%
ข้อสังเกต ทุกครั้งก่อนซื้อเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ อย่าลืมตรวจดูด้วยว่ามีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ไม่น้อยกว่า 70% เพราะเป็นปริมาณที่ช่วยฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งโดยส่วนมากผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์เจลล้างมือควรมีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ที่ 70-75% เพราะเป็นปริมาณที่เหมาะสมในการฆ่าเชื้อ และไม่ทำให้แอลกอฮอล์นั้นระเหยไวเกินไปอีกด้วย
แม้ว่าจะทำความสะอาดมือแล้ว ก็ควรหลีกเลี่ยงการนำมือมาสัมผัสใบหน้า ขยี้ตา แคะจมูก และสัมผัสปาก เพื่อช่วยลดโอกาสการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา จมูกปาก
การทำความสะอาดสิ่งของต่างๆรอบตัวที่หยิบจับบ่อยๆ เช่น ลูกบิด ที่จับประตู ราวบันได ปุ่มกดลิฟท์ วัสดุอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ด้วยแอลกอฮอล์หรือน้ำยาฆ่าเชื้อก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม้ว่ามือเราจะสะอาด แต่ถ้าสิ่งของที่เราหยิบจับมีเชื้อโรคปะปนอยู่ก็อาจทำให้ติดมากับมือหรือร่างกายได้ ดังนั้น อาจนำแอลกอฮอล์ชนิดน้ำที่มีความเข้มข้นตั้งแต่ 70% ขึ้นไปมาฉีดพ่นและเช็ดบริเวณสิ่งของที่ต้องหยิบจับอยู่บ่อยๆ เพื่อลดโอกาสการสะสมของเชื้อโรคและเชื้อไวรัสได้อีกทางหนึ่ง
2. ปิดปาก ปิดจมูกเวลาที่ไอหรือจาม ด้วยกระดาษทิชชู่
เนื่องจาก ไวรัสโคโรนา ติดต่อกันได้โดยผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย ดังนั้นการที่ผู้ติดเชื้อไอ จาม เป็นสาเหตุให้เชื้อแพร่กระจายได้ และผู้ที่สัมผัสน้ำลายของผู้ที่ติดเชื้อมีโอกาสรับเชื้อและแพร่กรจายไปยังบุคคลอื่นๆอีก
เพราะฉะนั้นเมื่อมีอาการไอ จาม ควรใช้ทิชชู่ที่สะอาดปิดปาก เพื่อลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อโรคไปยังผู้อื่น และในกรณีที่เป็นแค่หวัดทั่วไป การใช้ทิชชู่ปิดปากแทนการใช้มือป้องปากก็จะช่วยป้องการการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เพราะอาจะมีเชื้อไวรัสติดอยู่ที่มือเราโดยไม่รู้ตัว รวมถึงเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าผู้ป่วยแต่ละคนนั้นมีเชื้อแฝงอยู่หรือไม่ ทุกคนจึงควรระมัดระวังการใช้มือสัมผัสผู้ที่ป่วยและหลีกเลี่ยงการนำมือมาสัมผัสหน้าตนเอง
ในกรณีไม่มีกระดาษทิชชู่ที่สะอาด สามารถไอ จาม ในคอเสื้อหรือแขนพับได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้มือป้องปากและจมูก หรือถ้าใช้มือป้องปากและจมูก ต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
3. รับประทานอาหารที่ปรุงสุกและใช้ช้อนกลางเมื่อทานร่วมกัน
การรับประทานอาหารที่ปรุงสุกผ่านความร้อน จะช่วยทำลายเชื้อโรคต่างๆที่ปะปนมากับอาหารหรือเนื้อสัตว์ได้ในระดับหนึ่ง นอกจากจะเป็นการป้องกันการรับเชื้อไวรัสอีกทางหนึ่งแล้ว ยังเป็นการรับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัย ลดโอกาสการเกิดอาการต่างๆ เช่น ท้องร่วง
และควรใช้ช้อนกลางทุกครั้งที่รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น รวมถึงการรับประทานอาหารคนเดียว การใช้ช้อนกลางตักกับข้าวใส่จานจะช่วยลดการปนเปื้อนของน้ำลายลงในอาหาร นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อไวรัสจากคนสู่คนแล้ว ยังช่วยลดระยะเวลาในการเก็บรักษาอาหารให้นานยิ่งขึ้นอีกด้วย
และที่สำคัญอย่าลืมล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้งนะคะ
4. สวมใส่หน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐาน
ในกรณีที่คุณไม่มีอาหารเป็นไข้ เป็นหวัด หรืออาการของการติดเชื้อใดๆ อาจสวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการรับเชื้อจากผู้อื่น เช่น เมื่อมีผู้ป่วยไอ จามใส่ หน้ากากอนามัยอาจยังช่วยป้องการน้ำมูกน้ำลายเหล่านั้นได้บ้าง เพราะไวรัสชนิดนี้แพร่เชื้อผ่านทางน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยได้
ส่วนในกรณีที่คุณรู้สึกไม่สบาย เช่น มีไข้ เป็นหวัด ไอ จาม เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ควรใส่หน้ากากอนามัยไว้เสมอ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไข้หวัดธรรมดา หรือเชื้อไวรัสโคโรนาก็ตาม คงไม่ดีแน่หากเชื้อนั้นได้แพร่ไปยังบุคคลรอบข้าง และควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดนะคะ
ไม่ใช่แค่หน้ากากอะไรก็ได้ แต่ควรเป็นหน้ากากอนามัยที่ได้มาตราฐาน โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่สบาย ควรใช้หน้ากากทางการแพทย์หรือหน้ากาก N95 เพื่อป้องกันเชื้อแพร่ไปยังผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนหน้ากากผ้านั้นมีส่วนช่วยป้องกันได้น้อย เนื่องจากหน้ากากผ้ามีความแตกต่างจากหน้ากากอนามัยตรงที่ หน้ากากผ้าจะไม่มีสารที่ช่วยป้องกันการซึมผ่านของสารคัดหลั่งเหมือนหน้ากากอนามัยที่ทางการแพทย์ใช้กัน
ส่วนลักษณะการสวมหน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง คือ
- หันหน้ากากด้านสีเขียวเข้มออก เอาสีขาวเข้าหาหน้าตัวเอง
- จะมีด้านหนึ่งที่มีโลหะเส้นเล็กๆ อยู่ภายใน ให้นำตำแหน่งนั้นไว้ที่สันจมูก
- คล้องเชือกไว้กับหู ปรับตำแหน่งให้พอดี
- ดึงหน้ากากส่วนล่างให้ลงมาปิดถึงบริเวณคาง
- กดตรงส่วนของโลหะบนสันจมูก ให้โค้งรับสันจมูกพอดี เพื่อให้หน้ากากแนบสนิทกับใบหน้าให้ได้มากที่สุด
- ควรเปลี่ยนหน้ากากอนามัยทุกวัน ไม่ควรใช้ซ้ำ และไม่ควรใช้หน้ากากอนามัยร่วมกับผู้อื่น
5. หลีกเลี่ยงการใกล้ชิด ผู้ที่มีอาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ หรือมีอาการคล้ายไข้หวัด ซึ่งมีความเสี่ยงติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา
ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่า ผู้ที่ติดเชื้ออาจมีอาการอย่างไรได้บ้าง
- มีไข้
- ไอ
- เจ็บคอ
- มีน้ำมูก
- คลื่นไส้ อาเจียน
- หายใจหอบเหนื่อย
- ปวดศีรษะ
- ท้องเสีย
- อ่อนเพลีย
- เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว
ดังนั้น ควรสังเกตอาการของตนเองและคนรอบข้างอยู่เสมอ และเมื่อพบผู้ที่มีอาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจก็ควรหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าว หากตัวคุณเองรู้สึกมีอาการดังกล่าว ควรหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน สวมใส่หน้ากากอนามัยไว้ตลอดเวลา และควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดต่อไปค่ะ
ในช่วงนี้ควรหลีกเลี่ยงการไปในสถานที่ที่ผู้คนหนาแน่น เช่น โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า ศูนย์อาหาร สถานีขนส่ง เพื่อเลี่ยงสัมผัสรับเชื้อจากบุคคลอื่นๆ รวมถึงควรงดเดินทางไปยังประเทศที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เนื่องจากประเทศเหล่านั้นมีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก หากมีความจำเป็นต้องออกไปที่แหล่งชุมชน ก็ควรป้องกันตนเองด้วยการล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ
นอกจากนี้แล้ว ถ้าต้องเข้าห้องน้ำสาธารณะ ควรปิดฝาชักโครกทุกครั้งที่กดล้าง เพื่อลดโอกาสการฟุ้งกระจายของไวรัส ซึ่งถูกขับออกทางอุจาระได้
6. รับประทานวิตามินซี เป็นประจำทุกวัน
เนื่องจากวิตามินซีมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดีก็มักจะต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆได้มากขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้วิตามินซียังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกหลายอย่าง เช่น
- ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง จึงช่วยลดความเสี่ยงในการอักเสบของหลอดเลือดได้
- มีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการชะลอวัย
- มีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน และเนื้อเยื่อของเอ็นกระดูกอ่อน จึงมีผลต่อการบำรุงผิวพรรณให้สดใส
การรับประทานวิตามินซีนั้น สามารถรับประทานได้อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน เพราะวิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ จึงสามารถขับออกได้ทางปัสสาวะ โดยไม่ต้องกลัวการสะสมในร่างกายที่มากเกินไป ทำให้มีความปลอดภัยสูง สามารถรับประทานได้ทุกเพศทุกวัย
ดูข้อมูล >> ความแตกต่างระหว่างวิตามินซีธรรมชาติและวิตามินซีสังเคราะห์
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm หรือ https://lin.ee/iu3gZAE
ร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านทันตกรรม
ไบโอฟาร์มและไบโอแลป ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ ศ.ดร.ทพญ. วรานันท์ บัวจีบ (ที่ 2 จากซ้าย) คณบดี คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางทันตกรรม การพัฒนาเทคโนโลยี และนำไปสู่การผลิตและจัดจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ไบโอแลป จำกัด โดยพิธีลงนามดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องสิรินธรทันตพิพิธ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา คณะทันตแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดลเมื่อเร็วๆนี้
ร่วมมือแพทย์ รพ.สมุทรสาคร ให้ความรู้ปัญหากระดูก
บริษัท ไบโอฟาร์ม เคมิคัลส์ จำกัด โดยนายชวิศ เพชรรัตน์ โครงการ 45 ปี ไบโอฟาร์มเพื่อชุมชน ปีที่ 6 พร้อมด้วย อาจารย์นายแพทย์เทพรักษา เหมพรหมราช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ โรงพยาบาลสมุทรสาคร จัดกิจกรรมให้ความรู้เรื่องปัญหากระดูกและข้อที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ พร้อมเติมเวชภัณฑ์ให้แก่ ศูนย์บริการสาธารณสุขและชุมชนในเขตเทศบาลนครสมุทรปราการ โดยมีนายอิทธิชัย ชูเรณู ปลัดเทศบาลนครสมุทรปราการ ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีเทศบาลนครสมุทรปราการ พร้อมตัวแทนจากศูนย์บริการสาธารณสุขและชุมชนในเขตเทศบาลนครสมุทรปราการ เป็นผู้รับมอบ เมื่อเร็วๆ นี้
มาทำความรู้จักยาคุมแต่ละประเภทกัน!
ปัจจุบันมีวิธีคุมกำเนิดที่ได้ผลหลากหลายรูปแบบด้วยกัน หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมจากสาวๆมากที่สุดนั่นก็คือ การคุมกำเนิดโดยการกินยาเม็ดคุมกำเนิดนั่นเอง แต่รู้รึเปล่าว่า ยาคุมไม่ได้มีแค่แบบเดียว แถมยังมีหลายประเภทอีกด้วย ถ้าพร้อมแล้ว เรามาทำความเข้าใจยาคุมแต่ละประเภทกันเลยดีกว่าค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า การกินยาเม็ดคุมกำเนิดถือเป็นการคุมกำเนิดแบบชั่วคราว เช่นเดียวกับการใช้ห่วงอนามัย หรือถุงยางอนามัย แต่แตกต่างกันที่วิธีการทำงาน โดยยาเม็ดคุมกำเนิดจะส่งผลให้
1. ไข่ไม่ตก
2. ท่อนำไข่เคลื่อนไหวผิดปกติ ส่งผลให้ไข่ที่ถูกอสุจิผสมแล้วไม่สามารถเดินทาง
มาฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูกได้
3. เยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะต่อการฝังตัวของตัวอ่อน
4. มูกที่ปากมดลูกข้น เหนียว จนทำให้อสุจิไม่สามารถผ่านเข้ามาได้
ยาเม็ดคุมกำเนิดถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน
เป็นยาเม็ดคุมกำเนิดที่ใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่นหลังการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน เกิดการรั่วของถุงยางอนามัย หรือห่วงอนามัยหลุด เป็นต้น ยาคุมฉุกเฉินจะมาในรูปแบบแผง 2 เม็ด โดยควรกินให้เร็วที่สุด และไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ แต่ต้องบอกก่อนว่า ประสิทธิภาพของยาคุมแบบฉุกเฉินจะสู้ยาคุมรายเดือนชนิดฮอร์โมนรวมไม่ได้นะคะ เนื่องจาก ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่รีบกินยา เพราะฉะนั้นควรจะใช้แค่เวลาฉุกเฉินจริงๆค่ะ ยาคุมฉุกเฉินมีวิธีกิน 2 แบบคือ
1. แบ่งกิน 2 ช่วง โดยเม็ดแรกทานเร็วที่สุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ส่วนอีกเม็ดกินอีกที 12 ชั่วโมงถัดไป
2. กินพร้อมกัน 2 เม็ด เร็วที่สุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์
แต่เราขอแนะนำว่า กินพร้อมกันไปเลย 2 เม็ดดีกว่าค่ะ เพราะประสิทธิภาพเท่ากัน แต่สามารถป้องกันการลืมกินยาอีกเม็ด แถมยังสะดวกกว่าด้วยค่ะ นอกจากนั้น ถ้าเกิดอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมงหลังกินยา ต้องกินซ้ำนะคะ การกินยาเม็ดแบบฉุกเฉินอาจส่งผลให้ปวดท้อง, มีเลือดออกกะปริบกะปรอย หรือประจำเดือนมาคลาดเคลื่อน จึงควรทานเฉพาะฉุกเฉินจริงๆเท่านั้นนะคะ ทางที่ดีถ้ารู้ตัวว่าต้องการคุมกำเนิดเป็นระยะยาว หรือยังไม่พร้อมมีบุตรในช่วงนี้ แนะนำเป็นยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรายเดือนจะดีกว่าค่ะ
2. ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรายเดือน
ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบรายเดือน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องคุมกำเนิดอยู่เป็นประจำ หรือต้องการคุมรอบเดือนให้มาปกติ รวมถึงช่วยเรื่องผิวพรรณ และลดสิว ถูกแบ่งย่อยออกเป็น 3 สูตรคือ
1. ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม
เป็นชนิดที่นิยมมากที่สุด ตัวยาจะประกอบด้วยฮอร์โมน 2 ตัว คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงทำงาน ร่วมกันป้องกันการตกไข่ นอกจากนั้นยังช่วยลดฮอร์โมนเพศชายซึ่งจะช่วยลดสิวได้อีกด้วย
2. ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนต่ำ
เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของสาวๆที่อยากหลีกเลี่ยงอาการแพ้ หรือเพิ่งเริ่มกินเป็นแผงแรกๆ หรือต้องการปรับฮอร์โมนให้สมดุล โดยจะป้องกันอาการแพ้ อาเจียน เวียนศีรษะ ฝ้า ไม่ส่งผลต่อน้ำหนัก และไม่บวมน้ำ
3. ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนโปรเจสโตรเจนเดี่ยว
เหมาะสำหรับสาวๆที่แพ้ฮอร์โมนเอสโตรเจน รวมถึงคุณแม่ที่ต้องให้นมบุตร เนื่องจากไม่มีผลต่อปริมาณ และคุณภาพของน้ำนม แต่ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดอาจจะไม่ เท่ากับแบบฮอร์โมนรวม
ยาคุมแบบรายเดือนมีทั้งแบบ 21 เม็ด และแบบ 28 เม็ด ซึ่งทั้ง 2 ชนิดควรกินให้ตรงเวลาทุกวัน โดยมีวิธีกินแตกต่างกันไปดังนี้
- แบบ 21 เม็ด
มีลักษณะเป็นสีเดียวกัน ขนาดและปริมาณยาเท่ากัน โดยให้เริ่มกินตั้งแต่วันที่ 1-5 ของการมีประจำเดือน โดยให้วันที่เริ่มกิน ตรงกับวันที่ระบุอยู่หลังแผง แล้วไล่ไปตามลูกศร เช่น ประจำเดือนมาวันพุธ ก็เริ่มตั้งแต่เม็ดที่ด้านหลังเขียนว่า พ. หรือ Wed จากนั้นหยุดกิน 7 วัน แล้วค่อยเริ่มแผงใหม่ เมื่อถึงกำหนด 7 วัน ไม่ว่าประจำเดือนจะหมด หรือไม่ก็ตามก็ให้เริ่มกินแผงใหม่ได้เลยค่ะ
- แบบ 28 เม็ด
ในแผงยาจะมี 2 สี โดยจะเป็นตัวยาที่เป็นฮอร์โมน 21 เม็ด ส่วนอีก 7 เม็ด เป็นเม็ดแป้ง ด้านหลังแผงจะมีตัวเลขกำกับอยู่ เริ่มกินได้ตั้งแต่วันที่ 1-5 ของรอบเดือน โดยให้เริ่ม กินเม็ดที่เขียนว่า 1 แล้วไล่ไปตามเลขไปเรื่อยๆจนครบ พอหมดแผงก็เริ่มกินแผงใหม่ได้เลยในวันถัดไป
เห็นมั้ยคะว่า ถ้าเราเข้าใจยาคุมแต่ละประเภท และทานให้ตรงกับจุดประสงค์ของเรา การคุมกำเนิดก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย สาวๆคนไหนที่เริ่มทานยาคุมแล้วรู้สึกว่ามีอาการแพ้ หรือพบผลข้างเคียงต่างๆ ลองปรึกษาคุณหมอ หรือเภสัชกร เพื่อปรับชนิดของยาคุม หรือหาแนวทางแก้ไขไปด้วยกันนะคะ